สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 9-15 สิงหาคม 2564

 

ข้าว

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1 พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และงบประมาณ ดังนี้
2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย
3 มาตรการ ได้แก่
(1)โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 1.82 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวตันละ 8,600 บาทรวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่
เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรปีการผลิต 2563/64โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท
คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี
(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2563/64 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกร
ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน)นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร  เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท) ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ขอดำเนินการจ่ายเงินเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 500 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท ก่อนในเบื้องต้น
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,941 บาท ราคาลดลงจากตันละ 10,005 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.64
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 7,396 บาท ราคาลดลงจากตันละ 7,628 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.04
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 22,050 บาท ราคาลดลงจากตันละ 22,250 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.90
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,775 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากตันละ 11,750 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.21
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 653 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21,621 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 659 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21,631 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.91 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 10 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 396 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,111 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,130 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.00 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 19 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 399 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,211 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 403 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,228 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.99 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 17 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.1098 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
          บังคลาเทศ
          รัฐบาลกำลังวางแผนที่จะนำเข้าข้าวนึ่งจากอินเดียอีก 50,000 ตัน ซึ่งหน่วยงานด้านอาหาร (The Directorate General of Food) ระบุว่า ได้ยื่นเรื่องเสนอเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติแล้ว โดยมีรายงานล่าสุดว่าคณะรัฐมนตรี
ว่าด้วยการจัดซื้อของรัฐบาล (The Cabinet Committee on Government Purchase; CCGP) ได้อนุมัติข้อเสนอในการจัดหาข้าวนึ่งที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ จำนวน 50,000 ตันแล้ว โดยเป็นข้าวนึ่งที่เสนอโดยบริษัท M/S Bagadiya Brothers Private Limited ของอินเดีย ซึ่งคิดเป็นมูลค่าทั้งหมดประมาณ 18.887 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
          มีรายงานว่า รัฐบาลได้ตัดสินใจที่จะลดภาษีนำเข้าข้าว (import duty on rice) เพื่อพยายามควบคุมราคา วัตถุดิบในตลาดท้องถิ่น ตามข้อเสนอของกระทรวงอาหาร (the ministry of food)
          ทั้งนี้ ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการรายได้แห่งชาติ (the National Board of Revenue; NBR) จะมีการลดภาษีนำเข้าข้าวลงเหลือร้อยละ 15 จากเดิมร้อยละ 25 โดยแหล่งข่าวกล่าวว่าอัตราภาษีที่ลดลงกำหนดไว้สำหรับ
การนำเข้าข้าวซึ่งอาจใช้ได้จนถึงเดือนตุลาคมนี้ โดยคณะกรรมการรายได้แห่งชาติจะออกคำสั่งกำกับดูแลตามกฎหมาย (statutory regulatory order; SRO) เกี่ยวกับการลดภาษีในเร็วๆ นี้
          รัฐบาลได้ตัดสินใจที่จะสนับสนุนให้ผู้ค้าข้าวมีการนำเข้าข้าวมากขึ้นเพื่อรักษาระดับราคาข้าวในตลาด ภายในประเทศให้อยู่ในระดับที่ไม่แพงเกินไปสำหรับประชาชนทั่วไป โดยเมื่อเดือนธันวาคมปี 2563 ที่ผ่านมา รัฐบาล
ได้ปรับลดภาษีนำเข้าข้าวนึ่งเหลือร้อยละ 25 จากร้อยละ 62.5 เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะมีสินค้าข้าวในตลาดภายในประเทศในระดับราคายุติธรรมสำหรับประชาชนทั่วไป
          ตามรายงานของบรรษัทการค้าของบังคลาเทศ (Trading Corporation of Bangladesh;TCB) ราคาข้าว
เกรดธรรมดาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 37 ในช่วงเวลาหนึ่งปี โดยในปัจจุบันข้าวเกรดธรรมดาและขนาดคุณภาพปานกลาง
(Coarse and medium varieties of rice) มีราคาขายปลีก (the retail level) ที่ประมาณ 50-60 ทากาต่อกิโลกรัม (0.59-0.71 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อกิโลกรัม) ขณะที่ข้าวคุณภาพดี (Finer varieties of rice) ราคาขายปลีกอยู่ที่ประมาณ
65-78 ทากาต่อกิโลกรัม (0.77-0.92 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อกิโลกรัม) โดยในแต่ละปีบังคลาเทศมีความต้องการบริโภคข้าวประมาณ 34 ล้านตัน
          ที่มา: Oryza.com และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
          อิรัก
          แหล่งข่าวในวงการค้ารายงานว่ารัฐบาลอิรักได้ซื้อข้าวจากบริษัทเอกชนของสหรัฐฯ และไทย จำนวน 160,000 ตัน เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท S&P Global Platts รายงานโดยอ้างข้อมูลของบริษัท Al-Owais (Iraqi private company, AlOwais) ว่า หลังจากที่กระทรวงการค้าอิรัก (the Iraqi Ministry of Trade) ได้โอนย้ายความรับผิดชอบในการจัดหาข้าวไปให้ภาคเอกชนจัดหาข้าวแทนเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ปรากฏว่า ในช่วงครึ่งหลังของเดือนมิถุนายน 2564 บริษัท Al-Owais ได้ซื้อข้าวจากประเทศอุรุกวัย จำนวน 60,000 ตัน ในราคาประมาณ 560 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน FOB ซึ่งผู้ส่งออกรายใหญ่ของอุรุกวัยระบุว่า ได้มีการส่งมอบข้าวจำนวน 30,000 ตัน โดยเรือบรรทุกสินค้า 2 ลำ ซึ่งได้ออกจากท่าเรือมอนเตวิเดโอ (Montevideo Port) ไปยังประเทศอิรักแล้ว
          เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีการเจรจาลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding; MOU) ของสองประเทศ ระหว่างบริษัท Al-Owais ของอิรัก และสหพันธ์ข้าวแห่งสหรัฐอเมริกา
(the USA Rice Federation) และหลังจากนั้นในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ได้มีการตกลงซื้อข้าวขาวจากบริษัท ADM
(รัฐ Arkansas) จำนวน 80,000 ตัน (white rice in bulk) และจากบริษัท Supreme Rice (รัฐ Louisiana) จำนวน 40,000 ตัน (white rice in bags)
          แหล่งข่าวในวงการค้ายืนยันว่าได้เริ่มมีการสั่งผลิตในรัฐ Arkansas แล้ว โดยคำสั่งซื้อทั้งสองมีกำหนดจะส่งมอบ
ไปยังท่าเรือ Umm Qasr Port ประเทศอิรักในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนนี้ โดยบริษัทค้าข้าวแห่งหนึ่ง รายงานราคาขาย
ในประเทศ (the domestic sale price) ที่ประมาณ 540 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน CIF NOLA อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าว
ระบุว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับ L/C (Letters of Credit) แม้ว่าจะมีการตกลงกันในหลักการแล้วเมื่อหนึ่งถึงสองสัปดาห์ก่อน
          นอกจากอิรักจะซื้อข้าวจากสหรัฐฯ แล้ว มีรายงานว่า บริษัท Al-Owais ยังได้ซื้อข้าวขาวจากประเทศไทย (Thai white rice) จำนวน 40,000 ตัน โดยผ่านบริษัท ADM ของสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งหากการดำเนินการในครั้งนี้สำเร็จด้วยดี
จะถือเป็นการส่งมอบข้าวไทยครั้งแรกให้กับรัฐบาลอิรักในรอบหลายปีที่ผ่านมา
          การตกลงซื้อข้าวจำนวนรวม 220,000 ตัน จากทั้ง 3 แหล่ง (อุรุกวัย จำนวน 60,000 ตัน สหรัฐฯ จำนวน 120,000 ตัน และไทย จำนวน 40,000 ตัน) ในเวลาเพียงหนึ่งเดือนครึ่ง ในครั้งนี้ถือเป็นการฟื้นตัวอย่างน่าทึ่งในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยเมื่อช่วงต้นปี 2021 ที่ผ่านมา ได้มีการซื้อข้าวของปากีสถานและอุรุกวัย จำนวนรวม 120,000 ตัน จากการประมูลที่
จัดขึ้นโดยกระทรวงการค้าของอิรัก (the Ministry of Trade)
          ทั้งนี้ ในการประมูลนำเข้าข้าวจากทุกประเทศ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2021 ที่ผ่านมา กระทรวงการค้าของอิรัก
ซื้อข้าวจากข้าวปากีสถาน จำนวน 60,000 ตัน ราคา 582.55 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน (CIF Umm Qasr Free Out) โดย
ในการยื่นเสนอราคาครั้งแรกข้าวปากีสถานเสนอราคาที่ 595 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน (c&f liner out) จำนวน 30,000 ตัน (ซึ่งการประมูลในครั้งนั้นข้าวไทยเสนอราคาที่ 569.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน (c&f liner out) จ านวน 40,000 ตัน)
ส่วนการประมูลครั้งแรกของปี 2021 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์2021 กระทรวงการค้าของอิรักซื้อข้าวจาก อุรุกวัย จำนวน 60,000 ตัน จากบริษัท Hanalico ที่ราคา 672 เหรียญสหรัฐต่อตัน (c&f liner out) Umm Qasr
          ทั้งนี้ รัฐบาลอิรักไม่ได้จัดการประมูลข้าวตั้งแต่เดือนกันยายน 2019 เนื่องจากในปี 2020 เกิดภาวะราคาน้ำมันตกต่ำทำให้ขาดแคลนงบประมาณและไม่สามารถจัดหาข้าวได้
          ที่มา: Oryza.com และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
          สหรัฐอเมริกา
          สหพันธ์ข้าวแห่งสหรัฐอเมริกา (the USA Rice Federation) รายงานว่า หลังจากที่เว้นว่างมาสองปี ข้าวของสหรัฐฯ จะกลับเข้าสู่ตลาดอิรักได้อีกครั้งในปีนี้ หลังจากที่อิรักได้ตกลงซื้อข้าวจากบริษัท ADM จำนวน 80,000 ตัน และจากบริษัท Supreme Rice จำนวน 40,000 ตัน
          การซื้อขายในครั้งนี้ถือเป็นการขายข้าวครั้งแรกในรอบสองปีของสหรัฐฯ ให้กับประเทศอิรัก โดยการตกลงซื้อขายเกิดขึ้นหลังจากมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding; MOU) ของทั้งสองประเทศ
เมื่อไม่นานนี้ โดยอิรักตกลงที่จะซื้อข้าวของสหรัฐฯ จำนวน 200,000 ตันต่อปี โดยคาดว่าจะมีการส่งมอบไปยังท่าเรือ Umm Qasr Port ของอิรักในช่วงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนนี้
          ทั้งนี้ การลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ครั้งก่อน ทำให้สหรัฐฯ ขายข้าวให้แก่ประเทศอิรักได้จำนวน 350,000 ตัน มูลค่าประมาณ 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
          แหล่งข่าวในวงการอุตสาหกรรมข้าวของสหรัฐฯ ระบุว่า อิรักถือเป็นตลาดที่แข็งแกร่งสำหรับข้าวเมล็ดยาวของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยหลายประการซึ่งรวมถึงการระบาดครั้งใหญ่ของ COVID-19 ทั่วโลก ที่ทำให้อิรักต้องหยุดซื้อข้าวจากสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ในปี 2020 ที่ผ่านมาไม่มีการตกลงซื้อขายระหว่างกัน
          นาย John Boozman วุฒิสมาชิกในคณะกรรมการวุฒิสภาด้านการเกษตร โภชนาการ และป่าไม้ (U.S. Senator John Boozman (R-AR), the Senate Committee on Agriculture, Nutrition, and Forestry) กล่าวว่า การตกลง
ซื้อขายในครั้งนี้นับเป็นเป็นข่าวดีสำหรับผู้ผลิตข้าวของสหรัฐฯ เนื่องจากการตกลงซื้อขายในครั้งนี้ถือเป็นกรณีที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย (win-win) ทั้งผู้บริโภคของอิรัก และเกษตรกรของสหรัฐฯ
          ที่มา: Oryza.com และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

 


ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้

ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.42 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 7.82 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.22 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 6.06 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.64
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.06 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 10.39 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.02 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.64 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 9.69 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.52
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 311.00 ดอลลาร์สหรัฐ (10,289.00 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 322.00 ดอลลาร์สหรัฐ (10,561.28 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.42 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 272.28 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนกันยายน 2564 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกัน ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 558.16 เซนต์ (7,375.00 บาท/ตัน) สูงขึ้นจากบุชเชล 553.40 เซนต์ (7,243.06 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.86 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 131.94 บาท

 


มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2564 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – กันยายน 2564) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.507 ล้านไร่ ผลผลิต 31.632 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 3.327 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.918 ล้านไร่ ผลผลิต 28.999 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.252 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.60 ร้อยละ 9.08 และร้อยละ 2.31 ตามลำดับ โดยเดือนกรกฎาคม 2564 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 0.594 ล้านตัน (ร้อยละ 1.78 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2564 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2564 ปริมาณ 18.40 ล้านตัน (ร้อยละ 61.13 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดลดลง โดยผลผลิตมีคุณภาพต่ำเนื่องจากมีฝนตก และเป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว ทั้งนี้หัวมันสำปะหลังส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่โรงงานแป้งมันสำปะหลัง 
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.99 บาทในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 0.50
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.52 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 6.44 บาท ในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 1.24
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ7.53 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 14.05 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 253 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,377 บาทต่อตัน) ราคาลดลงจากตันละ 256 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,403 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.17
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 480 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,893 บาทต่อตัน) ราคาลดลงจากตันละ 483 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,854 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.62

 


ปาล์มน้ำมัน

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2564 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนสิงหาคมจะมีประมาณ 1.491 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.268 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.661 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.299 ล้านตัน ของเดือนกรกฎาคม คิดเป็นร้อยละ 10.23 และร้อยละ 10.37 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 6.58 บาท ลดลงจาก กก.ละ 6.80 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.24                   
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 35.97 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 35.48 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.38                     
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
อินเดียประกาศแผนการผลิตปาล์มน้ำมันระดับชาติ โครงการ National Edible Oil Mission – Oil Palm (NMEO-OP) เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศ เพราะอินเดียเป็นผู้นำเข้าน้ำมันปาล์มรายใหญ่ของโลก โดยในปี 2560 อินเดียบริโภคน้ำมันปาล์มภายในประเทศทั้งหมด 9.30 ล้านตัน ซึ่งเป็นการนำเข้าจากอินโดนีเซียและมาเลเซียถึงร้อยละ 98.97 ผลิตในประเทศเพียงแค่ร้อยละ 1.03 โครงการนี้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มการผลิตน้ำมันปาล์มในประเทศเป็น 1.10 ล้านตัน ภายในปี 2568-2569 ราคาน้ำมันปาล์มในอินเดียที่ผ่านมาเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันปาล์มโลกเพิ่มสูงขึ้น
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 4,529.50 ดอลลาร์มาเลเซีย (36.23 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 4,534.95 ดอลลาร์มาเลเซีย (36.03 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.12  
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,220.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (40.94 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 1,216.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (40.47 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ
หมายเหตุ  :  ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน

 


อ้อยและน้ำตาล
  1. สรุปภาวะการผลิต  การตลาดและราคาในประเทศ
           ไม่มีรายงาน
  1. สรุปภาวการณ์ผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
          ตลาดปรับตัวขึ้นทำราคาสูงสุดจากการตอบสนองต่อข่าวเรื่องน้ำค้างแข็งที่บราซิลทำให้ผลผลิตอ้อยได้รับผลกระทบอย่างมากทำให้คาดว่าราคาน้ำตาลจะยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่สูงต่อไปในช่วงนี้ เพื่อรอดูรายงานผลผลิตจาก Unica ในช่วงกลางสัปดาห์ถ้าตัวเลขที่รายงานออกมาแสดงถึงความเสียหายที่มากก็จะทำให้ราคาขึ้นได้อีก แต่ในทางกลับกันถ้าตัวเลขที่ออกมาเสียหายไม่มากก็คงทำให้ราคาเคลื่อนที่ทรงตัวอยู่ในช่วงปัจจุบันเพื่อรอดูความแน่ชัดในรายงายครั้งถัดไปในช่วงก่อนสิ้นเดือน
          อย่างไรก็ตามปัจจัยทางด้านมหภาพไม่ค่อยเอื้ออำนวยมากนัก ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน ราคาค่าขนส่งที่อยู่ในระดับสูง หรือ การติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดทั่วโลก หากว่ารายงานผลผลิตอ้อยและน้ำตาล
ของบราซิลในอีก 2-3 งวดข้างหน้าไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ราคาน้ำตาลอาจจะต้องปรับพักตัวในระยะหนึ่งก่อน
(ที่มา : ฝ่ายตลาด บริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด)




 

 
ถั่วเหลือง

1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา 
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเท (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,422.40 เซนต์ (17.54 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 1,407.76 เซนต์ (17.21 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.04
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 357.76 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.01 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 354.76 ดอลลาร์สหรัฐฯ (11.80 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.85
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 64.34 เซนต์ (47.59 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 63.31 เซนต์ (46.42บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.63


 

 
ยางพารา
 
 

 
ถั่วเขียว

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 23.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 23.90 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.77
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 26.80 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.75
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 37.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 36.60 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.09
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 24.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 23.20 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.45
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี       
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 935.25 ดอลลาร์สหรัฐ (30.97 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 946.20 ดอลลาร์สหรัฐ (31.06 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.16 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.09 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 844.25 ดอลลาร์สหรัฐ (27.95 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 848.00 ดอลลาร์สหรัฐ (27.84 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.44 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.11 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,147.75 ดอลลาร์สหรัฐ (38.00 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,149.20 ดอลลาร์สหรัฐ (37.72 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.13 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.28 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 753.00 ดอลลาร์สหรัฐ (24.93 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 737.20 ดอลลาร์สหรัฐ (24.20 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.14 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.73 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 990.00 ดอลลาร์สหรัฐ (32.78 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,002.00 ดอลลาร์สหรัฐ (32.89 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.20 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.11 บาท


 

 
ถั่วลิสง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.44 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 55.00 ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 35.56
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 22.40 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 28.53 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 21.49
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 57.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 54.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน


 

 
ฝ้าย

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
    ราคาที่เกษตรกรขายได้
  ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
     ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
     ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนตุลาคม 2564 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 92.93 เซนต์ (กิโลกรัมละ 68.76 บาท) เพิ่มขึ้นจากปอนด์ละ 90.94 เซนต์ (กิโลกรัมละ 66.69 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.19 (เพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 2.07 บาท)

 

 
ไหม

ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,693 บาท ลดลงจาก กิโลกรัมละ 1, 763บาทคิดเป็นร้อยละ 3.97 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,495 บาท ลดลงจาก กิโลกรัมละ 1, 515 บาทคิดเป็นร้อยละ 1.32 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,039 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา


 

 
ปศุสัตว์
 
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
  
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลง เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาดมีมากกว่ากับความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ  69.36 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 70.06  คิดเป็นร้อยละ 1 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 67.33 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 71.53 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 69.96 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 65.53 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้  ตัวละ 2,000บาท ลดลงจากตัวละ 2,100 บาท คิดเป็นร้อยละ 4.76 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 74.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
 
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตที่ออกสู่ตลาดยังคงสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 34.31 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 34.60 บาทคิดเป็นร้อยละ 0.84 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 33.39 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 42.91 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 7.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
   
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 293 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 292 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 280 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 298 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา  
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 335 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 354 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 349 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.50 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 395 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 364บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 323 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 350 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 335 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 

โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 94.79 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 95.46 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.71 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 94.08 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 92.85 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 89.51 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 108.64 บาท

กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 74.20 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 73.64 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.76 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 87.83 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 71.57 บาท  ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน
 
 

 
 

 
ประมง

สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 9 – 15 สิงหาคม 2564) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
 2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 76.92 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 77.28 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.36 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย                จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 126.13 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 122.79 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.34 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 119.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 118.33 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.67 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 62.46 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 75.31 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 12.85 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 100.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 220.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.65 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 6.62 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.03 บาท
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.50 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 34.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.50 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.50 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 29.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.50 บาท